
29 Dec ติดปีกให้ธุรกิจด้วยแนวคิด Startup
Startup คืออะไร
Startup ในความหมายทางธุรกิจ คือ องค์กรณ์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อมีลักษณะเด่นดังต่อไปนี้
อย่างแรกคือมันต้องสามารถขยายตัวได้โดยไม่ต้องใช้สินทรัพย์หรือเวลามากนัก จุดนี้แหละครับที่ทำให้คนหลายคนสับสนระหว่าง Startup และ SMEs
คืออย่างนี้ครับ ถ้าสมมุติผมเปิดร้านเสื้อผ้าเล็กๆร้านหนึ่งอย่างนี้เรียกว่าผมเป็น SMEs ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ต่อมาร้านเสื้อผ้าของผมขายดีขึ้น ลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าของผมเยอะจนผมสามารถที่จะเปิดสาขาเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ คำถามคือ แบบนี้ผมเป็น Startup รึยัง?
คำตอบคือไม่ใช่ครับ
อ่าวทำไมหล่ะผมก็เติบโตนะ
คำตอบคือการที่ผมเพิ่มสาขาแต่ล่ะสาขา ผมต้องเช่าตึกเพิ่ม ผมต้องตกแต่งร้านใหม่ จ้างพนักงานเพิ่ม ยิ่งถ้าผมตัดเสื้อผ้าเอง ผมยังต้องขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก นั่นหมายความว่า ทุกครั้งที่ผมเพิ่มสาขาผมต้องลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย
ในที่สุดความสำเร็จก็อาจจะถูกจำกัดด้วยอะไรบ้างอย่าง เช่น หาทำเลทองไม่ได้บ้างหล่ะ เวลาไม่มีบ้างหล่ะ กำลังการผลิตไม่พอบ้างหล่ะ
แล้วอย่างนี้ Startup เป็นอย่างไร?
ลองสมมุติใหม่ครับผมเปิด Website E-commerce ขึ้นมาเว็บไซต์หนึ่ง แล้วเชิญชวนผู้ขายเสื้อผ้าจากทั่วประเทศมาลงประกาศขายกับผม มีระบบตระกร้าสินค้า ลูกค้าสามารถเข้ามาเลือกแบบที่ชอบใส่ตะกร้าและกดจ่ายเงิน online ได้ เพียงรออยู่ที่บ้านก็มีของมาส่ง
ส่วนผมก็เก็บค่าธรรมเนียมในการขายเป็นเปอร์เซ็นต์ไป แรกๆอาจมีคนซื้อขายกันไม่ค่อยเยอะ แต่ถ้าทำการตลาดดีๆหน่อยเน้นการบอกต่อ ในที่สุดจาก สิบราย อาจกลายเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน หรือ ล้านได้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นกันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Platform Shopee หรือ Lazada
คำถามคือ ในการที่ผมจะเติบโตนี้ ผมต้องลงทุนอะไรเพิ่มขึ้นเยอะมั้ยครับ คำตอบคือไม่ ผมไม่จำเป็นต้องหาพื้นที่เช่าเพิ่ม ไม่ต้องจ้างพนักงานเพิ่ม นี่แหละครับคือนิยามข้อแรกของ Startup นั้นคือ “Scalability”
ต่อไปครับหาก Business model ในการเปิดร้านเสื้อผ้าของผมนี้ประสบความสำเร็จ ผมเริ่มมีไอเดียว่าทำไมเราไม่เปิดเป็นธุรกิจ E-commerce แบบนี้กับสินค้าชนิดอื่นบ้าง เช่น การขายอุปกรณ์ไอที การขายห้องพักในโรงแรม การขายอาหารเป็นต้น
เพราะ Model ธุรกิจก็แทบไม่มีอะไรต่างจากเดิมเลย
Model การทำซ้ำแบบนี้ (Repeatability) คืออีกหนึ่งคุณลักษณะหนึ่งของ Startup ที่ทำให้ Startup หลายๆเจ้าประสบความสำเร็จ ลองดูตัวอย่างของ Amazon ก็ได้ครับ แต่เดิม Amazon ขายหนังสือออนไลน์จนดังไปทั่วโลกแล้วก็ได้นำ Business model เดิมนี่แหละมาปรับใช้กับการขายสินค้าชนิดอื่นๆ จนได้ชื่อว่าเป็น “The Everything Store”
และสิ่งสุดท้าย คือ ความใหม่ (Innovation)
ผมไม่ได้หมายความว่า Startup แต่ละเจ้าจะมีแนวคิดซ้ำกันไม่ได้เลยนะครับ เพียงแต่ว่าถ้าไม่มีความใหม่ มันอาจจะเกิดขึ้นได้ยากเท่านั้นเองครับ ลองคิดในมุมใหม่ ที่แตกต่างไปจากคนอื่น
ความแตกต่างนี่แหละครับที่จะพาเราไปสู่ประตูแห่งความสำเร็จ
ลองดูตัวอย่างของ Airbnb ดูก็ได้ครับ จากแนวคิดเดิมที่ฝังหัวทุกคนว่าเวลาไปเที่ยวต้องนอนพักที่โรงแรม หรือ hostel เท่านั้น เพียงแค่เค้าคิดต่าง มองในมุมที่ไม่มีใครเห็น Match demand ของนักท่องเที่ยว และ Supply ของผู้ที่มีที่พักอาศัยเหลือเฝืออยู่หลายแห่ง จนตอนนี้มีมูลค่าธุรกิจสูงกว่า 30,000 ล้านเหรียญแล้ว
“Startup คือ องค์กรณ์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อมีลักษณะเด่น 3 อย่าง นั่นคือ Scalable, Repeteable และ Innovation”
Startup คืออะไร Startup ในความหมายทางธุรกิจ คือ องค์กรณ์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อมีลักษณะเด่นดังต่อไปนี้ อย่างแรกคือมันต้องสามารถขยายตัวได้โดยไม่ต้องใช้สินทรัพย์หรือเวลามากนัก จุดนี้แหละครับที่ทำให้คนหลายคนสับสนระหว่าง Startup และ SMEs คืออย่างนี้ครับ ถ้าสมมุติผมเปิดร้านเสื้อผ้าเล็กๆร้านหนึ่งอย่างนี้เรียกว่าผมเป็น SMEs ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ต่อมาร้านเสื้อผ้าของผมขายดีขึ้น ลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าของผมเยอะจนผมสามารถที่จะเปิดสาขาเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ คำถามคือ แบบนี้ผมเป็น Startup รึยัง? คำตอบคือไม่ใช่ครับ อ่าวทำไมหล่ะผมก็เติบโตนะ คำตอบคือการที่ผมเพิ่มสาขาแต่ล่ะสาขา ผมต้องเช่าตึกเพิ่ม ผมต้องตกแต่งร้านใหม่ จ้างพนักงานเพิ่ม ยิ่งถ้าผมตัดเสื้อผ้าเอง ผมยังต้องขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก นั่นหมายความว่า ทุกครั้งที่ผมเพิ่มสาขาผมต้องลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย ในที่สุดความสำเร็จก็อาจจะถูกจำกัดด้วยอะไรบ้างอย่าง เช่น หาทำเลทองไม่ได้บ้างหล่ะ เวลาไม่มีบ้างหล่ะ กำลังการผลิตไม่พอบ้างหล่ะ แล้วอย่างนี้ Startup เป็นอย่างไร? ลองสมมุติใหม่ครับผมเปิด Website E-commerce ขึ้นมาเว็บไซต์หนึ่ง แล้วเชิญชวนผู้ขายเสื้อผ้าจากทั่วประเทศมาลงประกาศขายกับผม มีระบบตระกร้าสินค้า ลูกค้าสามารถเข้ามาเลือกแบบที่ชอบใส่ตะกร้าและกดจ่ายเงิน online ได้ เพียงรออยู่ที่บ้านก็มีของมาส่ง ส่วนผมก็เก็บค่าธรรมเนียมในการขายเป็นเปอร์เซ็นต์ไป แรกๆอาจมีคนซื้อขายกันไม่ค่อยเยอะ แต่ถ้าทำการตลาดดีๆหน่อยเน้นการบอกต่อ ในที่สุดจาก สิบราย อาจกลายเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน หรือ ล้านได้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นกันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Platform Shopee หรือ Lazada คำถามคือ ในการที่ผมจะเติบโตนี้ ผมต้องลงทุนอะไรเพิ่มขึ้นเยอะมั้ยครับ คำตอบคือไม่ ผมไม่จำเป็นต้องหาพื้นที่เช่าเพิ่ม ไม่ต้องจ้างพนักงานเพิ่ม นี่แหละครับคือนิยามข้อแรกของ Startup นั้นคือ “Scalability” ต่อไปครับหาก Business model ในการเปิดร้านเสื้อผ้าของผมนี้ประสบความสำเร็จ ผมเริ่มมีไอเดียว่าทำไมเราไม่เปิดเป็นธุรกิจ E-commerce แบบนี้กับสินค้าชนิดอื่นบ้าง เช่น การขายอุปกรณ์ไอที การขายห้องพักในโรงแรม การขายอาหารเป็นต้น เพราะ Model ธุรกิจก็แทบไม่มีอะไรต่างจากเดิมเลย Model การทำซ้ำแบบนี้ (Repeatability) คืออีกหนึ่งคุณลักษณะหนึ่งของ Startup ที่ทำให้ Startup หลายๆเจ้าประสบความสำเร็จ ลองดูตัวอย่างของ Amazon ก็ได้ครับ แต่เดิม Amazon ขายหนังสือออนไลน์จนดังไปทั่วโลกแล้วก็ได้นำ Business model เดิมนี่แหละมาปรับใช้กับการขายสินค้าชนิดอื่นๆ จนได้ชื่อว่าเป็น “The Everything Store” และสิ่งสุดท้าย คือ ความใหม่ (Innovation) ผมไม่ได้หมายความว่า Startup แต่ละเจ้าจะมีแนวคิดซ้ำกันไม่ได้เลยนะครับ เพียงแต่ว่าถ้าไม่มีความใหม่ มันอาจจะเกิดขึ้นได้ยากเท่านั้นเองครับ ลองคิดในมุมใหม่ ที่แตกต่างไปจากคนอื่น ความแตกต่างนี่แหละครับที่จะพาเราไปสู่ประตูแห่งความสำเร็จ ลองดูตัวอย่างของ Airbnb ดูก็ได้ครับ จากแนวคิดเดิมที่ฝังหัวทุกคนว่าเวลาไปเที่ยวต้องนอนพักที่โรงแรม หรือ hostel เท่านั้น เพียงแค่เค้าคิดต่าง มองในมุมที่ไม่มีใครเห็น Match demand ของนักท่องเที่ยว และ Supply ของผู้ที่มีที่พักอาศัยเหลือเฝืออยู่หลายแห่ง จนตอนนี้มีมูลค่าธุรกิจสูงกว่า 30,000 ล้านเหรียญแล้ว "Startup คือ องค์กรณ์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อมีลักษณะเด่น 3 อย่าง นั่นคือ Scalable, Repeteable และ Innovation"
Startup คืออะไร
Startup ในความหมายทางธุรกิจ คือ องค์กรณ์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อมีลักษณะเด่นดังต่อไปนี้
อย่างแรกคือมันต้องสามารถขยายตัวได้โดยไม่ต้องใช้สินทรัพย์หรือเวลามากนัก จุดนี้แหละครับที่ทำให้คนหลายคนสับสนระหว่าง Startup และ SMEs
คืออย่างนี้ครับ ถ้าสมมุติผมเปิดร้านเสื้อผ้าเล็กๆร้านหนึ่งอย่างนี้เรียกว่าผมเป็น SMEs ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ต่อมาร้านเสื้อผ้าของผมขายดีขึ้น ลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าของผมเยอะจนผมสามารถที่จะเปิดสาขาเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ คำถามคือ แบบนี้ผมเป็น Startup รึยัง?
คำตอบคือไม่ใช่ครับ
อ่าวทำไมหล่ะผมก็เติบโตนะ
คำตอบคือการที่ผมเพิ่มสาขาแต่ล่ะสาขา ผมต้องเช่าตึกเพิ่ม ผมต้องตกแต่งร้านใหม่ จ้างพนักงานเพิ่ม ยิ่งถ้าผมตัดเสื้อผ้าเอง ผมยังต้องขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก นั่นหมายความว่า ทุกครั้งที่ผมเพิ่มสาขาผมต้องลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย
ในที่สุดความสำเร็จก็อาจจะถูกจำกัดด้วยอะไรบ้างอย่าง เช่น หาทำเลทองไม่ได้บ้างหล่ะ เวลาไม่มีบ้างหล่ะ กำลังการผลิตไม่พอบ้างหล่ะ
แล้วอย่างนี้ Startup เป็นอย่างไร?
ลองสมมุติใหม่ครับผมเปิด Website E-commerce ขึ้นมาเว็บไซต์หนึ่ง แล้วเชิญชวนผู้ขายเสื้อผ้าจากทั่วประเทศมาลงประกาศขายกับผม มีระบบตระกร้าสินค้า ลูกค้าสามารถเข้ามาเลือกแบบที่ชอบใส่ตะกร้าและกดจ่ายเงิน online ได้ เพียงรออยู่ที่บ้านก็มีของมาส่ง
ส่วนผมก็เก็บค่าธรรมเนียมในการขายเป็นเปอร์เซ็นต์ไป แรกๆอาจมีคนซื้อขายกันไม่ค่อยเยอะ แต่ถ้าทำการตลาดดีๆหน่อยเน้นการบอกต่อ ในที่สุดจาก สิบราย อาจกลายเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน หรือ ล้านได้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นกันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Platform Shopee หรือ Lazada
คำถามคือ ในการที่ผมจะเติบโตนี้ ผมต้องลงทุนอะไรเพิ่มขึ้นเยอะมั้ยครับ คำตอบคือไม่ ผมไม่จำเป็นต้องหาพื้นที่เช่าเพิ่ม ไม่ต้องจ้างพนักงานเพิ่ม นี่แหละครับคือนิยามข้อแรกของ Startup นั้นคือ “Scalability”
ต่อไปครับหาก Business model ในการเปิดร้านเสื้อผ้าของผมนี้ประสบความสำเร็จ ผมเริ่มมีไอเดียว่าทำไมเราไม่เปิดเป็นธุรกิจ E-commerce แบบนี้กับสินค้าชนิดอื่นบ้าง เช่น การขายอุปกรณ์ไอที การขายห้องพักในโรงแรม การขายอาหารเป็นต้น
เพราะ Model ธุรกิจก็แทบไม่มีอะไรต่างจากเดิมเลย
Model การทำซ้ำแบบนี้ (Repeatability) คืออีกหนึ่งคุณลักษณะหนึ่งของ Startup ที่ทำให้ Startup หลายๆเจ้าประสบความสำเร็จ ลองดูตัวอย่างของ Amazon ก็ได้ครับ แต่เดิม Amazon ขายหนังสือออนไลน์จนดังไปทั่วโลกแล้วก็ได้นำ Business model เดิมนี่แหละมาปรับใช้กับการขายสินค้าชนิดอื่นๆ จนได้ชื่อว่าเป็น “The Everything Store”
และสิ่งสุดท้าย คือ ความใหม่ (Innovation)
ผมไม่ได้หมายความว่า Startup แต่ละเจ้าจะมีแนวคิดซ้ำกันไม่ได้เลยนะครับ เพียงแต่ว่าถ้าไม่มีความใหม่ มันอาจจะเกิดขึ้นได้ยากเท่านั้นเองครับ ลองคิดในมุมใหม่ ที่แตกต่างไปจากคนอื่น
ความแตกต่างนี่แหละครับที่จะพาเราไปสู่ประตูแห่งความสำเร็จ
ลองดูตัวอย่างของ Airbnb ดูก็ได้ครับ จากแนวคิดเดิมที่ฝังหัวทุกคนว่าเวลาไปเที่ยวต้องนอนพักที่โรงแรม หรือ hostel เท่านั้น เพียงแค่เค้าคิดต่าง มองในมุมที่ไม่มีใครเห็น Match demand ของนักท่องเที่ยว และ Supply ของผู้ที่มีที่พักอาศัยเหลือเฝืออยู่หลายแห่ง จนตอนนี้มีมูลค่าธุรกิจสูงกว่า 30,000 ล้านเหรียญแล้ว
“Startup คือ องค์กรณ์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อมีลักษณะเด่น 3 อย่าง นั่นคือ Scalable, Repeteable และ Innovation”